ฝุ่นคือหนึ่งในเครื่องมือวัดใจคณะธรรมยาตรา

บทความโดย : นายนกขมิ้นน้อยธรรมดา

บันทึกนี้เป็นเรื่องราวที่ได้สัมผัสมาจากประสบการณ์ตรงบนเส้นทาง ๙๒ กว่ากิโลเมตร จากเมืองเข้าสู่ป่า จากความสะดวกสบายเข้าหาความลำบาก จากที่อดๆอยากๆ เข้ามาอิ่มเอมกับธรรมชาติสองข้างทาง พบกับมิตรภาพมากมายแม้จะไม่รู้จักกันมาก่อน รวมถึงน้ำเปล่าที่ใสบริสุทธิ์จากชาวบ้านตลอดเส้นทางยังไงก็ลองติดตามอ่านดูครับ อาจจะมีรายละเอียดบางอย่างที่ตกหล่นไปก็ขออภัยครับ

Continue reading

ตอนมาเดินธรรมยาตราครั้งที่ 9 และ 10 นอกจากจะมีเพื่อนเดินที่เป็นคนแล้ว ยังมีเพื่อนเดินที่เป็นสุนัขด้วยครับ

จำได้ว่าสุนัขตัวนี้ได้มาร่วมเดินธรรมยาตราครั้งที่แล้วด้วยครับ
จำได้ว่าสุนัขตัวนี้ได้มาร่วมเดินธรรมยาตราครั้งที่แล้วด้วยครับ

เดินธรรมยาตราครั้งที่ 11 ผมไม่สังเกตเห็นว่ามีสุนัขมาร่วมเดินไปกับเราไปตลอดทางเหมือนครั้งก่อนๆ จะมีบ้างก็เป็นบางครั้งที่มีมาร่วมเดินสักพักแล้วก็แยกทางหายไปภ เอ นึกแล้วก็เกิดคำถามครับ คิดว่าเจ้าตูบตัวนั้นน่าจะได้อนิสงค์อันใดจากการเดินไหมครับ ผมคิดว่าได้นะแต่นึกไม่ออกว่าได้อะไรหรืออย่างไร

เมื่อพูดถึงสุนัขที่พบเห็นระหว่างเส้นทางเดินภ ก็สะท้อนอะไรบางอย่างถึงวิถีชีวิตผู้คนที่นี่ภ ผมเคยสงสัยนะว่าสุนัขที่ผมเห็นส่วนใหญ่ ทำไมไม่ค่อยมีสุนัขสายพันธุ์ไทย มีแต่สุนัขพันธุ์ต่างประเทศหรือไม่ก็สุนัขพันธุ์ทางภ สุนัขบางตัวดูแล้วก็น่าจะราคาโขอยู่ เป็นต้นว่า พันธ์ชิตสึ, พันธุ์โกลเด้นฯ, ขนาดพันธุ์ร็อตไวเลอร์ยังมีเลย

มีข้อสงสัยแบบนี้ คนแรกที่ผมจะถามก็เห็นจะหนีไม่พ้นนายปุกปุย แช่นุ่นเพื่อนผม หมอนี่มักตอบอะไรที่มันยากๆได้เสมอ (แต่เรื่องง่ายๆ กลับไม่รู้เรื่องและชอบทำให้มันดูยาก ฮา)

Continue reading

ธรรมยาตรา โลกร้อน เย็นธรรม

การที่ต้องตื่นขึ้นมาทำวัตรเช้าตั้งแต่ตีสี่ครึ่ง เป็นอะไรที่สุดแสนจะทรมานสำหรับปุตุชนอย่างเราๆ ที่ปกติไม่ค่อยได้ตื่นเช้าบ่อยๆ แต่เชื่อเถอะว่าถ้าผ่านช่วงของความทรมานอันนี้มาได้ เราก็จะรู้สึกอีกแบบนึงนะ ภรู้สึกถึงความสดชื่นภายใต้อากาศที่หนาวเย็น รู้สึกถึงความตั้งใจของเพื่อนๆทุกคนที่มาร่วมทำวัตรเช้า รู้สึกถึงความสุขจากพิธีกรรมทางศาสนาที่มีความศักดิ์สิทธิ์ และรู้สึกถึงความสุขที่ได้สดับรับฟังการเทศนาสอนธรรมจากหลวงพ่อไพศาล วิสาโล ท่านเจ้าอาวาส วัดป่าสุคะโต จังหวัดชัยภูมิ

Continue reading

ในการเดินของมนุษย์เราบางครั้ง เราเดินอย่างเร่งรีบ เดินอย่างบ้าเลือด เดินอย่างเพลิดเพลิน หรือเดินอย่างทุกข์ระทม (ทั้งร่างกายและจิตใจ) หรือแม้กระทั้งเดินแบบใจลอยคิดฟุ้งซ่านไปในหลายๆ เรื่องในเวลาเดียวกันจนแยกไม่ออกว่ามีกี่เรื่องที่คิดกันแน่

หลายครั้งที่เราเดินอย่างมีและไม่มีจุดมุ่งหมายปลายทาง แต่ทุกย่างก้าวของเราก็รีบเร่งก้าว โดยไม่ได้คำนึงถึงเรื่องอื่นใดนอกจากระยะทางที่ไกลหรือสถานที่เราต้องการไปถึงจุดหมายปลายทาง แม้แต่บางครั้งลืมความเป็นตัวเป็นตนของตนเอง ลืมสังเกตสิ่งแวดล้อมรอบข้าง หรือแม้แต่ไม่ได้มองอะไรเลย จนข้อเท้าแพลงหรือประสบอุบัติเหตุ อาจจะเป็นเพราะเราเดินได้แต่ไม่มี “สติ”

ผมได้รู้จักการเดินแบบไร้สติมานานมากแล้ว จนวันหนึ่งได้เข้ามาสู่การเดินแบบมีสติ โดยเข้ามาร่วมกับ “คณะเดินธรรมยาตรา ครั้งที่ 10 ณ จังหวัดชัยภูมิ” แม้ว่าจะเป็นครั้งที่ 2 ที่ผมเข้ามาร่วมเดิน แต่ผมก็รับรู้ได้ถึงภาระอันยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ ที่มารองรับกิจกรรมต่างๆ ของชาวโลก ทั้งที่ทำร้ายและช่วยกันรักษาโลกใบนี้

Continue reading

IMG_5919

สำหรับ Entry นี้ ผมคงจะไม่ได้พูดพร่ำทำเพลงอันใดมากมาย เพราะเชื่อว่าพี่ๆ เพื่อนๆ และน้องๆ คงอยากจะดูรูปกันมากกว่า ไว้วันหน้าผมจะมาเล่าความรู้สึกดีๆ ให้ฟังทีหลังนะครับ

บทความโดย

เอก – นายนกกระรางหัวหงอก

>> ดูรูป คลิกที่นี่เลยครับ <<

ขอเชิญชวนเพื่อนๆ เข้าร่วมโครงการ เดินธรรมยาตราลุ่มน้ำลำปะทาว ครั้งที่ 10 ที่ ชัยภูมิ ครับ

01112008070

ก่อนอื่นคงต้องเกริ่นกันก่อนนะครับว่า โครงการธรรมยาตรา เป็นโครงการ ฟื้นฟูชีวิตและธรรมชาติ ลุ่มน้ำลำปะทาว ดำเนินงานมาตั้งแต่ปี่ ๒๕๔๓ ซึ่งมุ่งเน้นการประสานความร่วมมือแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมกระตุ้นให้เกิดความ รัก การพัฒนาจิตใจภายในที่ดีต่อคุณค่าของธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบนเทือกเขาภูแลนคาพื้นที่เขตลุ่มน้ำลำปะทาวของจังหวัดชัยภูมิโดยมีกิจกรรมหลักคือ การรณรงค์ด้วยการเดินเท้าอย่างสงบฝึกฝนจิตใจด้วยเมตตา ไปตามหมู่บ้านต่างๆ ๘ วัน ๗ คืน ร่วมรับฟังแลกเปลี่ยนเรียนรู้ปัญหาทุกข์สุขของชุมชน ประกอบศาสนกิจ ฟังธรรมและเทศนาให้เห็นคุณค่าของแม่น้ำ แผ่นดินและธรรมชาติ ที่หล่อเลี้ยงชีวิตผู้คนในลุ่มน้ำลำปะทาวโครงการนี้ จึงได้มุ่งเน้นให้ประชาชนได้ร่วมแรงร่วมใจ เพื่อคืนความบริสุทธิ์สดใสให้กลับสู่ชีวิต และลุ่มน้ำลำปะทาวอย่างยั่งยืนสืบไป อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ

Continue reading

ฝนหยุดตกชั่วคราวตอนเพลพอดี คณะธรรมยาตรามาหยุดตรงใจกลางตำบลแห่งหนึ่ง(จำชื่อตำบลไม่ได้อีกแล้ว) ดูเหมือนว่าชาวบ้านที่นี่เค้าจะเตรียมการต้อนรับไว้แล้วทั้งสถานที่และก็อาหาร ผู้คนในเมืองเล็กๆแห่งนี้น่าจะถูกล่อเลี้ยงด้วยการทำกสิกรรม เพราะรอบข้างมีแต่มันสัมปะหลังกับอ้อย

มีคนในคณะธรรมยาตราบอกว่า นี้คือ เกษตรกรรมตาเดียว คือปลูกอะไรได้เงินก็จะปลูกกันไปอย่างนั้น จนกระทั่งดินเสื่อมสภาพ จากผลผลิตที่เค้าเคยได้ วันข้างหน้ามันก็จะลดน้อยลงไปเรื่อยๆภ ผมคิดว่าที่เค้าพูดก็ฟังดูมีเหตุมีผล เค้ามองเห็นปัญหา เจ้าของไร่แถบนี้ก็น่าจะทราบปัญหาแบบนี้ดี แต่ก็ยังไม่เห็นมีอะไรมาหยุดยั้งการวิ่งของระบบทุนนิยมได้ภ ก็คงจะต้องรอให้บ้านเราเป็นทะเลทราย นั่นแหละถึงจะสำนึก

Continue reading

วันนี้เป็นวันที่ 5 ของกิจกรรมเดินธรรมยาตรา ซึ่งก็มาได้กว่าครึ่งค่อนทางแล้วล่ะครับ สำหรับผม วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่จะอยู่ร่วมกิจกรรมกับพวกเพื่อนๆ เพราะผมลางานมาได้เพียง 4 วันครับ เกรงใจเจ้านาย(ลาหลายวันเดี๋ยวจะใช้คอมฯไม่เป็น) อีกอย่างที่สำคัญก็คือผมจำเป็นต้องกลับไปปฏิบัติงานทำมาหาเลี้ยงชีพ เหมือนกับมนุษย์ในสังคมส่วนใหญ่ที่ต้องก้มหน้าก้มตามต่อสู้เพื่อปากท้อง

Entryนี้ผมไม่มีรูปประกอบ เพราะรูปหายหมดเลย เด๋วจะไปขอนายเต่านายปุยมาใส่ให้ทีหลังนะครับ

เช้านี้กิจกรรมก็ปฏิบัติกันเหมือนทุกวัน หลวงพ่อท่านเทศนาและสั่งสอนให้มีจิดสำนึก วันนี้ผมตั้งใจฟังเป็นพิเศษเพราะเป็นวันสุดท้าย ปีหน้าถึงจะได้มาร่วมกิจกรรมกับเพื่อนๆอีก

Continue reading

เก้านาฬิกา จันทร์ที่ 3 พฤศจิกายน 2551

คำปฏิญาณตน

นั่นเป็นคำปฏิญาณที่ชาวคณะธรรมยาตราทุกคนจะกล่าวพร้อมกันทุกครั้งก่อนออกเดินทาง ในวันที่3ของการเดินธรรมยาตรา ลุ่มน้ำลำปะทาวพวกเราต้องเดินผ่านชุมชนขนาดใหญ่(เข้าใจว่าเป็นตำบลเพราะมีบ้านอยู่หนาแน่นพอสมควรครับ) วันนี้ที่ชุมชนแห่งนี้มีการแข่งขันกีฬา ดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงไปมะรุมมะตุ้มกันอยู่ที่สนามกีฬาโรงเรียนครับ และโรงเรียนดังกล่าวก็เป็นเส้นทางผ่านของคณะธรรมยาตราพอดีภ ในระหว่างที่คณะธรรมยาตราเดินผ่านทีมงานที่ประชาสัมพันธ์โครงการธรรมยาตราก็จะประกาศผ่านลำโพงให้ชาวบ้านทราบครับว่าเราคือใครมาทำอะไร ทุกคนดูไม่ค่อยใส่ใจเท่าที่ควรเพราะใจจดใจจ่ออยู่กับการแข่งขั้นเสียมากกว่า

Continue reading

ตีสี่ จันทร์ที่ 3 พฤศจิกายน 2551

เมื่อคืนผมนอนหลับได้ด้วยดี ก็ห่างหายจากการนอนถุงนอนที่ไม่มีอะไรรองหลังมานานพอสมควรภ หลังของผมเมื่อต้องกดทับกับพื้นกระดานแข็งๆของศาลาวัดเป็นเวลานานๆก็ทำเอาปวดเมื่อยไปได้เหมือนกันครับ แต่คงเพราะอาการอ่อนเพลียจากการเดินทางไกล การนอนหลับเมื่อคืนที่ผ่านมาจึงไม่มีปัญหาอะไรมาก โดยปกติการนอนอยู่ท่ามกลางคนหมู่มากที่เราไม่คุ้นเคยอาจเป็นอุปสรรคที่ทำให้บางคนนอนไม่หลับ แต่ก็ไม่ใช่อุปสรรคของผมครับภ อุปสรรคของผมคือเสียงกรนของ พี่ตุ้มเม้ง พี่ตู้ และเพื่อนปุกปุ้ย (หรือผมด้วยหว่า) เรียกได้ว่าถ้าใครมานอนใกล้ๆพี่ๆพวกนี้ก็คงต้องทำใจครับ เพราะท่านเปล่งเสียงรถไฟ เรือกลไฟ และเครื่องบินโบอิ้งส่งเสียงคำรามแข่งกันทั้งคืน โชคดีผมรู้ทันจึงชิงหลับไปก่อน ส่วนเพื่อนๆธรรมยาตราท่านอื่นที่ไม่เคยเจอสถานะการณ์อย่างนี้มาก่อน กระผมคงต้องกราบขออภัยมา ณ. ที่นี้ด้วยนะขอรับภ เหอๆ

เช้ามืดวันนี้พี่ตุ้มตื่นขึ้นมาคนแรก และผมก็เป็นคนที่สอง เพื่อนๆในคณะธรรมยาตราก็เริ่มทยอยตื่นกันบ้างแล้วครับ หลายคนเริ่มทำกิจธุระส่วนตัวกัน แต่เนื่องจากวัดหัวฝาย(จำชื่อวัดได้ล๊ะ)แห่งนี้มีห้องน้ำอยู่เพียง 2 ห้อง ดังนั้นจึงไม่แปลกที่จะมีคนมายืนรอใช้บริการ ผมจึงต้องถอยห่างไว้รอไปใช้บริการตอนที่คณะธรรมยาตราเค้าทำวัดเช้ากันท่าจะดีกว่าครับ

Continue reading