ผมเคยเดินทางไปบึงบอระเพ็ดมาแล้วหลายครั้ง ในแต่ละครั้งพบได้ประสบการณ์ใหม่ๆ หรือได้พบกับภาพแห่งความทรงจำดีๆ ตลอด รอบนี้ก็เหมือนกัน ผมได้มาพร้อมกับคณะอาจารย์และนักศึกษาจาก มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร ซึ่งเป็นสถานศึกษาเก่าของผม โดยคณะอาจารย์พานักศึกษาออกมาศึกษาภาคสนามเรียนรู้จากของจริง หลังจากที่เราทานอาหารเที่ยงเสร็จพวกเราก็ลงเรือครับ รอบนี้เป็นเรือขนาดใหญ่มีหลังคา เหมาะสำหรับการเก็บตัวอย่าง “สาหร่าย” ในน้ำ ณ บึงบอระเพ็ดครั้งนี้จริงๆ
ร่องน้ำที่เราจะต้องผ่านออกไปสู่บึงใหญ่จะพบว่าอุดมไปด้วยบัวและพรรณไม้อีกหลายชนิด
กว้างสุดลูกหูลูกตาครับ
ลืมแนะนำเพื่อนร่วมทาง อีกหนึ่งชีวิตครับ มันตามเราขึ้นเรือมาด้วยคงสงสัยว่าคนพวกนี้มาทำอะไรกัน มันหันมามองผมด้วยสายตาที่อยากจะสื่อว่า “เรื่องของคนแต่หมาอยากรู้” ครับ
มองออกไปจากเรือสังเกตเห็นเครื่องมือหาปลาครับ มันคือ “ลอบ” ทำให้ผมนึกถึงพังเพยที่ว่า “ดักลอบต้องหมั่นกู้เจ้าชู้ต้องหมั่นเกี้ยว” คิดไปแล้วก็นั่งอมยิ้มไปครับ
นั่นไง “King fisher” ตัวจริงครับ ไม่ใช่นกแต่เป็น พี่เสื้อน้ำเงินคนนี้ เขากำลังวางตาข่ายเพื่อดักปลาครับ
ระหว่างทางเราพบพืชน้ำชนิดหนึ่งมีดอกคล้ายกับดีปลี เราเรียกว่า “ดีปลีน้ำ” ครับ
ขณะที่เรือแล่นไปเราสังเกตเห็นนกชนิดหนึ่งกำลัง “กกไข่” แต่มันตกใจหนีไปแต่ก็ไม่ห่างจากรังของมันนัก
มันคือรังของนก “อีแจว” ครับ นั่นไงพ่อนกมองดูอยู่ห่างๆ สำหรับพฤติกรรมของนกชนิดนี้ เมื่อผสมพันธุ์ ทำรังวางไข่แล้ว ตัวเมียก็จะหนีไปและปล่อยให้ตัวผู้เป็นผู้เลี้ยงลูกแทน ผู้ชายทั้งหลายไม่ต้องน้อยใจหรอกครับเพราะมันเป็นธรรมชาติที่เขากำหนดไว้ เราก็อย่าไปฝืนเลยครับ “ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดก็พอ”
หลังจากนั้นพวกเราก็รีบเคลื่อนเรือออกจากรังของนกอีแจวแห่งนั้น เพราะไข่นกต้องการพ่อนกมาฟักไข่ หากอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงนานๆ ไข่อาจจะไม่ฟักก็ได้ “เราควรเสพธรรมชาติอย่างพอเพียงและเพียงพอ พร้อมกับเคารพในสิทธิการดำรงอยู่ของเขาด้วยครับ” เราจะได้พบเห็นเขาได้ตลอดไป ระหว่างที่เรือของเรากำลังแล่นไป สายคมดั่งเหยี่ยวลูกหมู ของผมได้ไปพบกับครอบครัวของนกชนิดหนึ่งที่จะหาดูได้ยาก เพราะพฤติกรรมที่ผลุบๆโผล่ๆ ที่ประเทศโน้นประเทศนี้ที เอ๊ะยังไง ช่าง “คน” เขาเถอะครับเรามาดูต่อดีกว่า นั่นคือ “นกเป็ดผีเล็ก” ครับกำลังมีลูกอ่อน ลักษณะของรังเขาจะเอาสาหร่ายมากองๆ ทับๆกันแล้วลูกก็จะอยู่บนรัง
พอเรือเราเข้าใกล้รัง พ่อแม่นกเป็ดผีเล็กก็จะว่ายน้ำออกจากรัง และลูกน้อยก็มุดน้ำไปซ่อนใต้รัง ขณะเดียวกัน พ่อแม่นกเองก็จะร้องและว่ายเข้ามาเบนความสนใจของเรา โดยแสดงพฤติกรรมต่างๆ พร้อมทั้งแกล้งเหมือนกับบาดเจ็บ “แม้ว่าตนเองจะเป็นแค่สัตว์ที่มนุษย์หลายคนบอกว่ามันเป็นแค่สิ่งประดับโลกแต่หัวใจของความเป็นพ่อแม่ยิ่งใหญ่นัก แม้รู้ว่าศัตรูจะเป็นใคร พ่อแม่นกเหล่านี้ก็พร้อมที่จะสละชีวิตเพื่อให้ลูกตนรอด แล้วถ้าเป็นคุณจะทำอย่างไร”
เราเห็นว่าถ้าเราอยู่ดูครอบครัวนี้นานกว่านี้ลูกนกอาจจะไม่ปลอดภัย เพราะใต้น้ำนั้นอาจจะมี “มือที่มองไม่เห็น อะไม่ใช่ ภัยที่มองไม่เห็น” มาจัดการกับลูกนกเสียก่อน เสียดายที่เราไม่ได้เห็นภาพครอบครัวที่อยู่พร้อมหน้าพร้อมตาของนกเป็ดผีครอบครัวนี้ แต่เราได้เห็นถึงความกล้าหาญและสัญชาติญาณการเอาตัวรอดอย่างชัดเจน ผมหลับตาแล้วคิดไปว่า “หากมียักษ์แบบในละคร ออกมาจับมนุษย์กินผมจะมีวิธีการเอาตัวรอดอย่างไร” และหลังจากนั้นเราก็เดินทางกลับขึ้นฝั่งเพื่อเอาตัวอย่างน้ำที่เก็บมาไปตรวจสอบว่ามีสาหร่ายชนิดใดบ้าง อันนี้ก็เป็นตัวอย่างที่เราพบคืนนั้นถ่ายโดยกล้องดิจิตอลจ่อกับกล้องจุลทรรศน์ ครับแต่ผมไม่รู้จักชื่อพวกเขานะครับแบบว่าไม่ใช่ทางของผม
เกือบเที่ยงคืนกว่าที่เราจะเสร็จสิ้นภารกิจ พวกเราก็แยกย้ายเข้าที่พักนอนเอาแรงเพื่อที่จะทำกิจกรรมอื่นต่อตอนเช้าวันพรุ่งนี้ คืนนั้นผมนอนหลับอย่างมีความสุขเพราะภาพของ “ครอบครัวของนกเป็ดผี” และบรรดานกหลากหลายสายพันธุ์ที่อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข “แตกต่างแต่ไม่แตกแยก” และที่สำคัญผมดีใจที่ชาวบ้านในพื้นที่ร่วมมือกับทางหน่วยงานของบึงบอระเพ็ด แบ่งพื้นที่ให้นกและสัตว์น้ำได้ทำรังวางไข่ เพื่อให้ลูกๆของสัตว์เหล่านั้นเป็น “ต้นทุนทางธรรมชาติ” ต่อไป เพราะถ้าหากเรากินต้นทุนทางธรราชาติจนหมดไปแล้วลูกหลานเราจะกินอะไรในอนาคต
นำเสนอโดย
นายนกขมิ้นน้อยธรรมดา