บทความดีๆ จากปี 2002

ด้วยท่านwebmaster ต้องการให้ผมเขียนเรื่องเกาะสมุย ที่กำลังประสบปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมอย่างหนักหน่วงโดยเฉพาะเรื่องการขาดแคลนน้ำจืด แต่ผมไม่อยากจะพูดถึงมากนัก เพราะเรื่องนี้ มีการแจ้งเตือนกันมาเป็นเวลานานแล้ว ตามสื่อต่างๆ ซึ่งมีสาเหตุมาจากการทำอะไรเกินพอดี มองเห็นแต่รายได้ที่มาจากการท่องเที่ยว โดยไม่ใส่ใจปัญหาสิ่งแวดล้อม ซึ่งต้องใช้เวลาและทุนทรัพย์มากมายในการแก้ไข ซึ่งนอกจากจะปัญหาขาดแคลนน้ำจืดแล้ว ยังมีปัญหาขยะล้นเมืองอีก

แต่ในคราวนี้ ผมขอทำหน้าที่เป็นองค์การพรีไคร์ม จากหนังเรื่อง ไมนอริตี้รีพอร์ต ที่จะทำนายปัญหาที่จะเกิด แบบที่เกาะสมุย ว่าจะไปเกิดที่ไหนอีก เพื่อผู้เกี่ยวข้องจะได้หาทางป้องกันไว้ ผมจะพูดถึงเกาะเล็กๆอีกเกาะหนึ่ง ห่างจากเกาะสมุยไม่กี่ไมล์ทะเล ชื่อว่า“เกาะเต่า”ซึ่งถึงแม้ว่าจะเป็นเกาะเล็กๆ แต่ชื่อเสียงของมันไม่เล็กเพราะเป็นศูนย์รวมแห่งการเรียนดำน้ำทั้งของไทยและของโลก เนื่องจากน้ำทะเลใส ธรรมชาติใต้น้ำงดงามอลังการ ถึงแม้ว่าช่วง 2-3 ปีหลังแนวปะการังจะถูกทำลายไปบ้างด้วยปรากฎการ เอลนิโน่(ขอ อภัยถ้าสะกดผิด)

ความงดงามของเกาะเต่านั้น ถึงขนาดที่ สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง ร5 ได้เคยทรงเสด็จประพาส และทรงสลักพระปรมาภิไทยของพระองค์ท่านไว้บนหินก้อนหนึ่งบนชายหาดเกาะเต่า จนปัจจุบัน เรียกหินก้อน นั้นว่าหิน จปร. ผมได้เคยไปเยี่ยมเยียนเกาะเต่าเมื่อครั้งเกือบล่าสุด เมื่อปีพ.ศ.2525 พบว่าธรรมชาติใต้น้ำอลังการจริงๆ ส่วนสภาพ ทั่วไปบนเกาะนั้น มีความสงบเงียบ จนถึงน่ากลัว มีบ้านเรือนอยู่ไม่กี่หลัง ร้านขายของก็รู้สึกว่ามีอยู่ร้านเดียว และ ไม่ค่อยมีอะไรขายมากนัก ไม่มีโรงแรมรีสอร์ท นักท่องเที่ยวต้องอาศัยพักตามบ้านคนรู้จัก ไฟฟ้าก็ใช้ไฟปั่นในช่วง มีงานเทศกาลเท่านั้น ดังนั้น กลางคืนจึงมืดมาก การเดินทางนั้น ท่านจะต้องรู้จักเจ้าของเรือ ที่จะเดินทางไป แล้ว ขออาศัยเขาไป ส่วนการคมนาคมในตัวเกาะนั้น ต้องใช้เรือ ในส่วนของถนนนั้น ถนนลาดยางไม่ต้องพูดถึง แม้แต่ ถนนลูกรังยังไม่มีเลย ทั้งเกาะมีมอเตอร์ไซด์อยู่ไม่กี่คัน ติดต่อสื่อสารกับแผ่นดินใหญ่ด้วยจดหมาย จากวันนั้นเป็นต้นมา จากการบอกเล่ากันปากต่อปาก ได้ดึงดูดใจนักท่องเที่ยวจากทุกมุมโลกให้หลั่งไหลกันไปที่ เกาะแห่งนี้ ประกอบกับคนไทยด้วยกัน ก็ไปตั้งถิ่นฐานมากขึ้น เพื่อเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากการท่องเที่ยว จนเกาะ เต่าเจริญรุ่งเรืองขึ้นอย่างผิดหูผิดตา

ผมได้กลับไปเยือนเกาะนี้อีกครั้งหนึ่ง เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา(20 ปี ผ่านมา) ผมตกใจอย่างมาก เพราะมีสภาพ เหมือนถนนข้าวสารไม่ผิดเพี้ยน เต็มไปด้วยชาวต่างชาติ ฝรั่ง ญี่ปุ่น คุณหาได้ทุกอย่าง ตั้งแต่สิ่งของจำเป็น จนถึง อินเตอร์เน็ตคาเฟ่ ถนนคอนกรีตอย่างดี รถราแทบทุกชนิดวิ่งกันขวักไขว่ โรงแรมรีสอร์ต เกสต์เฮาส์ผุดขึ้นมากมายเป็นดอกเห็ด แต่ก็ยังไม่สายที่จะควบคุม อย่างไรก็ตาม ปัญหาเรื่องน้ำจืดก็เริ่มIntro ขึ้นมาแล้ว ต้องใช้เรือขนน้ำจืดจากแผ่นดินใหญ่คือจ.ชุมพรมาวันหนึ่ง หลายเที่ยว ชาวเกาะนั้น ก็ตื่นตัวกับปัญหานี้ด้วยการทำป้ายรนณรงค์ประหยัดน้ำไว้ทั้งภาษาไทย และอังกฤษ แต่อยากให้ทำ เพิ่มขึ้นได้ไหม เพราะเห็นตามสิ่งปลูกสร้างต่างๆไม่มีการทำรางน้ำเลย เป็นไปได้ไหมที่ทาง อบต.จะรณรงค์ ให้ทุกบ้าน ทำรางน้ำ และตุ่มเก็บน้ำฝนไว้ ไม่ให้มันลงดินไปเฉยๆ ก็น่าจะบรรเทาปัญหานี้ไปได้บ้าง

นอกจากนั้นแล้วปัญหาขยะก็เริ่มโหมโรงแล้ว มีภูเขาขยะย่อมๆเกิดขึ้นหลายแห่ง เราจะแก้ปัญหาใหญ่นี้ได้อย่าง ไร? มีอุทยานบางที่ เมื่อนักท่องเที่ยวกำลังจะเข้าอุทยาน ทางเจ้าหน้าที่ จะจดทะเบียน วัสดุต่างที่จะกลายเป็น ขยะไว้ เช่น ขวด กระป๋องต่างๆ เมื่อขากลับ คุณต้องเอาออกมาให้ครบ มิฉะนั้นจะถูกปรับ นี่ก็เป็นแนวทางหนึ่ง และ ผมลองถามถึงผู้ที่มาประกอบธุรกิจที่นี่ ปรากฎว่าเป็นคนถิ่นอื่นทั้งนั้น จะเป็นไปได้ไหม ว่าจะสนับสนุน ให้กับคนท้องถิ่นดั้งเดิม ได้เข้ามามีบทบาทในการจัดการการท่องเที่ยวในส่วนนี้มากขึ้น เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชน เหล่านี้ คือ สิ่งที่ผมแจ้งเตือนไว้ เพื่อให้ผู้รับผิดชอบร่วมกันหาทางแก้ก่อนจะสายเกินไป

บทความโดย
Day Walker

ที่มาของรูปภาพ :
http://www.thai-tour.com
http://www.kapook.com

Comments

comments

Leave a reply

<a href="" title=""> <abbr title=""> <acronym title=""> <b> <blockquote cite=""> <cite> <code> <del datetime=""> <em> <i> <q cite=""> <s> <strike> <strong> 

required