เก้านาฬิกา จันทร์ที่ 3 พฤศจิกายน 2551

คำปฏิญาณตน

นั่นเป็นคำปฏิญาณที่ชาวคณะธรรมยาตราทุกคนจะกล่าวพร้อมกันทุกครั้งก่อนออกเดินทาง ในวันที่3ของการเดินธรรมยาตรา ลุ่มน้ำลำปะทาวพวกเราต้องเดินผ่านชุมชนขนาดใหญ่(เข้าใจว่าเป็นตำบลเพราะมีบ้านอยู่หนาแน่นพอสมควรครับ) วันนี้ที่ชุมชนแห่งนี้มีการแข่งขันกีฬา ดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงไปมะรุมมะตุ้มกันอยู่ที่สนามกีฬาโรงเรียนครับ และโรงเรียนดังกล่าวก็เป็นเส้นทางผ่านของคณะธรรมยาตราพอดีภ ในระหว่างที่คณะธรรมยาตราเดินผ่านทีมงานที่ประชาสัมพันธ์โครงการธรรมยาตราก็จะประกาศผ่านลำโพงให้ชาวบ้านทราบครับว่าเราคือใครมาทำอะไร ทุกคนดูไม่ค่อยใส่ใจเท่าที่ควรเพราะใจจดใจจ่ออยู่กับการแข่งขั้นเสียมากกว่า

บนเส้นทางที่คณะฯเดินผ่าน ผมเห็นว่าบนเส้นทางทั้งสองฝั่งเต็มไปด้วยไร่มันสำปะหลังและอ้อย ก็แน่ล่ะครับมันเป็นพืชเศรฐกิจที่ขายได้เป็นกอบเป็นกำ ผมนึกไปในอนาคตข้างหน้าว่า ถ้ายังคงปลูกพืชไร่ประเภทนี้ต่อไปอีกสักสี่ห้าปี ผืนดินต้องแย่แน่ๆ มันสำปะหลังจะหัวเล็กลงอ้อยก็จะลีบลง ท้ายที่สุดก็ขายไม่ได้ราคา เดินมาสักพักผมก็รึสึกดีขึ้นเมื่อเห็นไร่ต้นยางพารา ปลูกแซมด้วยสัปปะรด ที่บอกว่าดีขึ้นก็เพราะยางพาราเป็นพืชยืนต้นที่น่าจะให้ความชุ่มชื้นแก่ผืนดินกว่ามันสำปะหลังและอ้อย(คิดไปเองรึป่าวหว่า)

ไร่มันสำปะหลังระหว่างเดินทางผ่าน

รูปต้นไม้ที่สวยงาม

หลังจากเดินมากว่า 2 ชั่วโมง เราก็มาถึงที่พักทานอาหารเที่ยงซึ่งเป็นวัดที่อยู่นอกตำบลครับ คณะก็ร่วมรับประทานอาหารกันเหมือนเช่นเคย วันนี้น้องๆบางส่วนของโรงเรียนรุ่งอรุณเดินทางกลับกรุงเทพฯไปก่อนครับ ทราบภายหลังว่าเป็นรุ่นพี่ที่อยากติดตามมาร่วมกิจกรรมเพราะติดใจในกิจกรรมนั่นเองครับ

เพื่อนปุกปุยของผมครับ

พักดื่มน้ำระหว่างทาง

ผมทานอาหารเสร็จก็ออกมาด้านนอกศาลา เดินเล่นสำรวจวัดตามปกติ(สำรวจทุกวัดที่ผ่านน่ะแหละครับ) มองไปเห็นทีมขายเสื้อผ้า ทุกคนตั้งใจขายเหมือนเดิมครับ แต่ขายไม่ดีเลย เพราะชาวบ้านไปร่วมกิจกรรมแข่งขันกีฬากันหมดอย่างที่ผมเรียนให้ทราบไปตั้งแต่ตอนต้น ไม่เป็นไรครับ ตั้งใจขายต่อไป เอาใจช่วยนะครับ

มีสิ่งหนึ่งที่ผมประหลาดใจมากครับ ตั้งแต่ออกเดินธรรมยาตรามาหลายหมู่บ้าน ผมยังไม่เห็นสุนัขพันธุ์ไทยเลยสักกะตัว มองไปทางไหนก็เห็นสุนัขพันธุ์ต่างประเทศ เช่น โกลเด้นท์รีทรีพเวอร์ ,ชิสุ ,พุดเดิ้ล ขนาดล็อตไวน์เลอร์ยังมีเลย ผมก็เลยถามคนแถบนั้นดู ทราบว่าสุนัขพันธุ์ต่างประเทศเหล่านี้ ลูกๆของชาวบ้านแถบนี้เค้านำมาจากกรุงเทพฯ เอามาฝากญาติที่นี่เลี้ยงเนื่องจากถ้าพวกมันอยู่กับเค้าที่โน่น เกรงว่าจะไม่มีเวลาเลี้ยง ส่วนสุนัขไทยเราน่ะเหรอครับ เห็นเค้าบอกว่าโดนขายไปเป็นเมนูเด็ดที่เวียตนามเรียบร้อยไปแล้ว ฟังแล้วทราบอนาถครับ

เจ้าหมาสองตัวนี้ไม่ใช่หมาไทยแน่ๆ

ดูเหมือนทุกคนพร้อมแล้วที่จะออกเดินทางกันต่อ วันนี้ผมอยากถอดรองเท้าเดินมั่ง แอบเดินไปถามพี่ตุ้มเม้งว่า “พี่ๆ มีคนบอกว่าการทำสมาธิคือการเพ่งอยู่กับสิ่งหนึ่งใด กับมีคนบอกว่าการทำสมาธิคือทำจิตใจให้ว่าเปล่าไม่ต้องคิดถึงสิ่งใด ตกลงอย่างไหนมันถูกวะพี่” พี่ตุ้มแกก็บอกว่า “ก็ได้ทั้งสองอย่างแหละ นายชอบแบบไหนก็เลือกเอา อยากจะได้อะไรก็เลือกเอา” ผมว่าพี่เค้าตอบดี ไม่ผมไม่อยากฟัง ก็เลยตัดสินใจถอดรองเท้าเดิน (เอ๊ะ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับคำถามที่ถามพี่ตุ้มวะเนี่ย)

ผมชอบวิวที่นี่มากๆ

ผมถอดรองเท้าเดินมากว่าสามกิโลเมตร ผ่านถนนลาดยาง ถนนปูน ถนนดินลูกรัง เย็น ร้อน ร้อนจัด โอ้วแม่เจ้า ไม่ไหวแล้วใส่รองเท้าเดินเหมือนเดิมดีกว่าครับพี่น้อง นายปุกปุยเดินมาบอกว่าผม “ถ้าไม่ไหว ก็ใส่รองเท้า เถ้อะเพื่อน อย่าฝืน เพราะนายไม่เหมือนคนที่เค้าถอดรองเท้าเดินมาตลอดหรอก ฝืนต่อไปรังแต่จะทำให้เจ็บ เปล่า” ผมนึกในใจว่า เออ ตูยอมแล้ว

และแล้วคณะเราก็มาถึงวัด…. พรุ่งนี้จะมาเล่าต่อนะครับ

Comments

comments

Comments are closed.