จากตอนที่แล้ว ภhttp://www.world.in.th/?p=1767

เมื่อคืนอากาศหนาวได้ใจดีเหมือนกัน ก็แน่ล่ะครับ นี่มันหน้าหนาวหนิเนาะ หนำซ้ำที่นี่ก็อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลพอสมควร คืนแรกของทริปเขาเทวดา มันช่างได้อารมณ์เสียจริง ยิ่งได้มีโอกาสนั่งล้อมวงทานอาหาร ดื่มเหล้า พูดคุยเฮฮากันกับเพื่อน ๆ ในค่ำคืนที่ดาวกระจายเต็มท้องฟ้ากับอากาศหนาวเย็นปีล่ะครั้งนั้น เป็นความสุขของชีวิตที่หาไม่ค่อยจะได้บ่อยนักกับคนทำงานออฟฟิศในเมือง และเมื่อมีโอกาสก็ควรจะตักตวงความสุขนั้นไว้ ใช่ไหมล่ะครับ

พวกเรานั่งคุยกันอยู่นาน และเหมือนเดิม เรื่องที่พูดคุยดูจะไม่มีสาระเอาเสียเลย บางเรื่องก็ไม่ค่อยจะเหมือนกับคนวัยผู้ใหญ่เค้าคุยกันนักหรอกครับ เน้นฮามากกว่า

อากาศเย็นลงเรื่อย ๆ น้ำค้างก็ลงหนักใช่ย่อย บวกกับความเพลียจากการเดินทาง ทุกคนจึงตัดสินใจร่วมกันว่า เข้าเต้นท์นอนพักผ่อนกันดีกว่า ไม่เกินสิบนาทีความเงียบสงัดก็มาเยือน ได้ยินก็แต่เสียงสุนัขเจ้าถิ่นเดินรอบบริเวณเต้นท์เพื่อหาของกิน แต่คงไม่ได้กินหรอก เพราะเก็บไว้ในรถหมดแล้วเพื่อนเอ๋ย

เช้าวันรุ่งขึ้น ทุกคนก็เข้ามามะรุมมะตุ้มกันที่กาแฟและอาหารเช้า แสงในช่วงเช้าค่อนข้างดีมาก จึงไม่พลาดที่จะหยิบกล้องคู่บารมีขึ้นมากดชัตเตอร์กันกระจาย

วิวบริเวณที่เราพักกางเต้นท์ เป็นเนินเขาเตี้ย ๆ จึงมองเห็นทัศนียภาพรอบ ๆ ได้เกือบทั้งหมด หากวัดมุมมองทางสายตา ก็น่าจะมากกว่า 180 องศาได้ครับ ความสวยงามโดดเด่นของที่นี่ เห็นจะไม่พ้นทุ่งฟางข้าวโพดสีเหลืองทอง พร้อมแบ็คกราวด์ที่เป็นทิวเขาสีเขียวอีกน้ำเงินเข้ม แสดงให้เห็นถึงบรรยากาศของฤดูหนาวได้ชัดเจนเลยทีเดียวครับ

ช่างภาพมาเป็นนายแบบมั่ง ก็คงไม่ผิดกติกาหรอกมั้งเนาะ

และแน่นอน ทริปนี้ก็พอจะหาน้องนางแบบหน้าตาแนว ๆ เกาหลีเหนือมาเป็นแบบบ้าง ไรบ้าง

ช่วงสาย ๆ หลังจากรับประทานอาหารเช้ากันเสร็จ คณะก็เริ่มออกเดินทางด้วยเท้า ไปตามจุดท่องเที่ยวที่อยู่บริเวณนั้น เป้าหมายก็คือ น้ำตกตะเพินคี่ใหญ่ ครับ

“พักตะเพินคี่หนึ่งคืน อายุยืนขึ้นหนึ่งปี” เห็นป้ายเค้าบอกไว้อย่างนั้นนะ อยู่สองคืน ก็เพิ่มมาอีกสองปี ดีจุงเบย

แม้ถนนหนทางจะเป็นดินลูกรัง แต่ทางเดินก็ไม่ได้แย่จนเกินไปนัก พวกเราเดินตัดหมู่บ้านกระเหรี่ยงตะเพินคี่ภซึ่งเป็นหมู่บ้านใหญ่พอสมควรครับ กับนักท่องเที่ยวอย่างเรา ๆ แล้ว ชาวบ้านที่นี่ดูจะเฉย ๆ นะครับ คงเพราะมีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวที่นี่อยู่บ่อย ๆ แต่เรื่องมิตรไมตรีแล้ว ชาวบ้านเค้าดูมีน้ำใจดีครับ ดูจากเวลาถามเส้นทาง พี่ ๆ เค้าก็บอกทางให้ทราบโดยละเอียด

ก่อนที่จะมุ่งไปน้ำตกตะเพินคี่ใหญ่ คณะของเราได้แวะเข้าไปยังถ้ำตะเพินทองก่อน ถ้ำนี้ไม่ลึกมากครับ ปากถ้ำค่อนข้างกว้าง เป็นถ้ำที่เดินทางถึงโดยง่าย จากที่ได้ลองเดินดูโดยรอบ ๆ เห็นว่าสถานที่นี้น่าจะมีไว้สำหรับประกอบพิธีกรรมทางพุทธศาสนาของพระและชาวบ้าน ภพวกเราหยุดพักกันที่ถ้ำตะเพินทองอยู่พอสมควร ก็ปรึกษากันว่าน่าจะเดินทางต่อไปยังถ้ำตะเพินเงินกันดีไหมเพราะเมื่อวานได้ยินจากพี่เจ้าหน้าที่อุทยานฯ บอกว่าถ้ำนี้สวย จึงอยากจะไปดูสักครั้ง

ในระหว่างที่พวกเราอยู่ในถ้ำตะเพินทอง สังเกตุหินงอกหินย้อยดูสวยแบบแห้ง ๆ ไม่มีความระยิบระยับของเกร็ดหินเท่าไร เข้าใจว่าคงไปงอกไม่ย้อยไปกว่านี้อีกแล้ว เค้าเรียกกันว่าหินงอกหินย้อยที่หินตายแล้ว ดังนั้นเวลาเพื่อน ๆ ไปเที่ยวถ้ำก็อย่าเอามือไปแตะตรงหินงอกหินย้อยนะครับ เพราะเดี๋ยวไม่จะไม่งอกต่อ เมื่อไม่งอกต่อมันก็หมดความสวยงาม

ก่อนจะมุ่งไปยัง ถ้ำตะเพินเงินภบังเอิญมีชาวบ้านขับมอเตอร์ไซด์ผ่านปากทางพอดี คณะเราจึงได้โอกาสถามชาวบ้านให้แน่ใจก่อนอีกครั้ง จะได้ไม่ต้องเสียเวลาหลงทางกัน

ระหว่างทางพวกเราผ่านทุ่งข้าวโพดขนาดใหญ่ ดูแล้วข้าวโพดที่เห็นน่าจะนำไปขายให้โรงงานใช้ทำอาหารสัตว์มากกว่าให้คนกินนะ เพราะเมล็ดแข็งมาก ๆ (ลองไปย่างไฟดูแล้ว ปิ้งย่างอย่างไรก็ไม่สุกสักกะที) ทุ่งข้าวโพดกินพื้นที่เยอะมากทำให้นึกถึงภาคเหนือแถว ๆ จังหวัดน่าน ที่มีไร่ข้าวโพดเต็มภูเขา ที่นั่นภูเขาหลายลูกหัวโล้น หัวล้าน อยากจะบอกว่าข้าวโพดไปที่ไหน ป่าหายเรียบเลยล่ะพี่น้อง

เดินมาสักปะเดี๋ยวก็เห็นทางเข้าภถ้ำตะเพินเงิน

ทางเข้าถ้ำออกจะดูเล็กไปนิดนึงนะครับ หรือไอ่เสื้อส้มมันตัวใหญ่ก็ไม่รู้

แต่พอเข้าไปแล้วก็พบว่าโอ่งโถงอยู่เหมือนกัน ตรงกลางมีพระประธานอยู่ด้วย

ที่น่าประทับใจมากก็คือ เกร็ดแก้วระยิบระยับภายในถ้ำนี่แหละ เวลาส่องไฟฉายไปก็จะเห็นเป็นเกร็ดเพชรเกร็ดแก้ว น่าดูชม

เส้นทางภายในถ้ำตะเพินเงินไม่ได้โอ่โถงตลอดเส้นทางนะครับ มีบางช่วงบางจุดที่ยังต้องมุด ต้องเอียงตัว ซึ่งก็เป็นปกติของถ้ำอยู่แล้ว ดังนั้นถ้ากลัวจะตัวเปื้อน ก็ไม่ต้องเข้าถ้ำนะค้าบ

มีแมลงแปลก ๆ ให้เห็น ไม่รู้ว่าตัวอะไร หน้าตาคล้ายจิ้งหรีดแต่ขายาวเหมือนแมงมุม ไม่กัดครับ เพราะไม่ได้ไปยุ่งกะมัน

อีกจุดของถ้ำที่ยังดูสวยงามน่าชมครับ หินงอกหินย้อย ปฏิมากรรมที่ธรรมชาติสรรสร้างไว้

คณะเราใช้ชีวิตอยู่ในถ้ำตะเพินเงินราว 30 นาที ก็ออกมานั่งพักด้านนอก ก่อนที่จะเดินทางต่อไปยัง น้ำตกตะเพินคี่ใหญ่

เรียนตามตรงว่า กว่าจะหาทางไปน้ำตกเจอ ใช้เวลาอยู่นานพอสมควร ถามทางชาวบ้านไปเรื่อย ๆ ดีว่ามีสุนัขตัวนึง ไม่รู้ว่ามาจากไหน มันคอยนำทางเราไปจนกระทั่งเจอน้ำตก เหลือเชื่อจริง ๆ แต่น้ำตกที่เจอไม่ใช่ตะเพินคี่ใหญ่ แต่กลับเป็นน้ำตกตะเพินคี่น้อยแทน ก็เอาเถอะขี้เกียจเดินต่อแล้ว จะน้อยจะใหญ่ก็ช่างเถอะ

คณะเดินลงเขาไปราวสามสี่ร้อยเมตรก็เริ่มได้ยินเสียน้ำตก

และแล้วก็มาถึง น้ำตกตะเพินคี่น้อย

น้ำตกตะเพินคี่น้อย ไม่ได้ดูน้อยอย่างที่คิดนะ สวยใช้ได้เลยทีเดียว คิดว่าหน้าฝนน้ำต้องเยอะและแรงกว่านี้มากมาย แต่ก็อยู่ที่เพื่อน ๆ แหละครับ จะขับรถขึ้นมาที่นี่กันไหวหรือเปล่าแค่นั้นเอง เพราะหน้าฝนถนนคงจะลื่นโคตร ๆ ถ้ามีรถโฟร์วิลด์ก็อีกเรื่องครับ

พวกเรานั่งพักนั่งเสพบรรยากาศอยู่นานมาก แต่ไม่ยักกะมีเพื่อนในกลุ่มคนใดในกลุ่มลงไปแช่น้ำ คงเห็นว่าน้ำมันเย็นไปหน่อยกระมัง อีกอย่างยังต้องเดินตัวเปียกกลับไปที่พักอีกหลายเพลา

ดูเผิน ๆ เหมือนหมอนี่กำลังทำท่าโฆษณาลูกอมฮอลล์

เจ้าน้องหมาตัวนี้ไงล่ะ ไกด์นำทางของเรา พอมาถึงน้ำตกปุ๊บพวกก็นอนปั๊บเลย สงสัยจะเพลีย ก่อนจะกลับก็ไม่ลืมที่จะต้องปลุกมัน

หลายคนเริ่มหิวกันแล้ว ดีว่าพกเตาแก๊สขนาดจิ๋วไปด้วย ยังได้พอต้มมาม่ากินกันตายได้

นั่งอยู่นานพอสมควร พวกเราก็เดินทางกลับที่พัก ระหว่างเดินกลับผ่านวิวสวย ๆ หลายจุด

ช่างภาพก็ได้มีภาพของตนเองบ้างไรบ้าง

ผ่านสวนมะละกอของชาวบ้าน เห็นแล้วก็อยากซื้อไปตำส้มตำกินสักลูก แต่ก็ได้แค่คิด เพราะไม่มีอุปกรณ์และอะไหล่สำหรับอาหารอีสานเมนูนี้

กลับถึงที่พักก็ราวสี่โมงเย็นได้ นอนพักสักงีบก่อนจะเริ่มหุงหาอาหารเย็น ระหว่างที่กำลังนอนงีบเกลือกกลิ้งไปมา ก็มีเพื่อน ๆ นักท่องเที่ยวคณะอื่นมากางเต้นท์ชมบรรยากาศที่เดียวกับคณะเราด้วย ค่ำคืนนี้จึงดูคึกคักเป็นพิเศษครับ

บทความโดย
Orange Smallfishภ

Comments

comments

Leave a reply

<a href="" title=""> <abbr title=""> <acronym title=""> <b> <blockquote cite=""> <cite> <code> <del datetime=""> <em> <i> <q cite=""> <s> <strike> <strong> 

required