ตอนมาเดินธรรมยาตราครั้งที่ 9 และ 10 นอกจากจะมีเพื่อนเดินที่เป็นคนแล้ว ยังมีเพื่อนเดินที่เป็นสุนัขด้วยครับ
เดินธรรมยาตราครั้งที่ 11 ผมไม่สังเกตเห็นว่ามีสุนัขมาร่วมเดินไปกับเราไปตลอดทางเหมือนครั้งก่อนๆ จะมีบ้างก็เป็นบางครั้งที่มีมาร่วมเดินสักพักแล้วก็แยกทางหายไปภ เอ นึกแล้วก็เกิดคำถามครับ คิดว่าเจ้าตูบตัวนั้นน่าจะได้อนิสงค์อันใดจากการเดินไหมครับ ผมคิดว่าได้นะแต่นึกไม่ออกว่าได้อะไรหรืออย่างไร
เมื่อพูดถึงสุนัขที่พบเห็นระหว่างเส้นทางเดินภ ก็สะท้อนอะไรบางอย่างถึงวิถีชีวิตผู้คนที่นี่ภ ผมเคยสงสัยนะว่าสุนัขที่ผมเห็นส่วนใหญ่ ทำไมไม่ค่อยมีสุนัขสายพันธุ์ไทย มีแต่สุนัขพันธุ์ต่างประเทศหรือไม่ก็สุนัขพันธุ์ทางภ สุนัขบางตัวดูแล้วก็น่าจะราคาโขอยู่ เป็นต้นว่า พันธ์ชิตสึ, พันธุ์โกลเด้นฯ, ขนาดพันธุ์ร็อตไวเลอร์ยังมีเลย
มีข้อสงสัยแบบนี้ คนแรกที่ผมจะถามก็เห็นจะหนีไม่พ้นนายปุกปุย แช่นุ่นเพื่อนผม หมอนี่มักตอบอะไรที่มันยากๆได้เสมอ (แต่เรื่องง่ายๆ กลับไม่รู้เรื่องและชอบทำให้มันดูยาก ฮา)
ปุกปุยตั้งสมมติฐานว่า สุนัขเหล่านี้น่าจะมาจากกรุงเทพฯภ โดยใครนำมาน่ะเหรอครับ คิดว่าน่าจะเป็นลูกๆ ของชาวบ้านที่เข้าไปเรียนหรือทำงานกรุงเทพฯนั่นเอง อาจจะเป็นเพราะกลัวพ่อแม่จะเหงา อาจเป็นเพราะเลี้ยงสุนัขตัวนี้ไม่ไหวไม่มีเวลาที่จะเลี้ยงดู อาจเป็นเพราะขี้เกียจจะเลี้ยง หรืออาจจะเหตุผลอื่น
คำถามคือ แล้วสุนัขพันธุ์ไทยแท้ล่ะหายไปไหนหมด?ภ คำถามนี้นายปุกปุยไม่ตอบเยอะ บอกแต่เพียงประโยคสั้นๆว่า “คนเวียตนามไม่ชอบกินหมาฝรั่ง เนื้อมันหยาบและไม่อร่อย” …. นี่เป็นคนคำตอบสุดท้าย เป็นคำตอบที่ฟังดูแล้วขมขื่นว่ะ หมานะเว้ยเห้ย มันไม่ได้ถูกเลี้ยงเพื่อมาเป็นอาหารซะหน่อย มันคือสัตว์ที่ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนที่ซื่อสัตย์ที่สุดเลยนะภ เห้อ เซ็งครับ
แต่ก็เหอะนะ ไอ่ปุยมันอนุมานเอาหนินา(ตั้งข้อสมมติฐาน) จะตีโพยตีพายแบบเต็มๆไปก็ใช่เรื่องภ ย้อนนึกไปว่าเมื่อตอนมาเดินธรรมยาตราครั้งที่ 10 น้องพล(หนึ่งในทีมงานสต๊าฟธรรมยาตรา)เคยบอกผมว่า ตอนนี้ที่นี่เค้าไม่กินไม่ขายหมากันแล้วพี่ วัยรุ่นที่นี่เค้าสมัยใหม่กันแล้ว ได้ฟังอย่างนั้นก็พอจะสบายใจขึ้นมาได้บ้าง
ถ้าขนสั้นกว่านี้ ผมว่าน่าจะดีกว่าหน่อยนึงนะ อย่างน้อยเค้าก็ไม่ร้อน
สีสันของเจ้าดำตัวนี้ ดูตัดกับพื้นถนนดีจริงๆ
หน้าตาเหมือนหมาไทยนะเนี่ย แต่ก็ยังไม่แน่ใจซะทีเดียว ปุกปุยบอกว่าถ้ามึงอยากรู้ก็ต้องพาไปตรวจดีเอ็นเอภ อืม ผมว่าอย่าดีกว่าตอนที่ดาราเค้าตรวจกัน ดูแล้วยุ่งยากวุ่นวาย แถมนักข่าวยังเยอะอีก 😛
นี่ก็เหมือนกัน ก้นดูคล้ายๆ หมาไทย
พันธุ์นี้มีเยอะเลยครับ น่ารักดี อยู่กันหลายตัวเป็นครอบครัวใหญ่
และไม่ว่าจะสุนัขพันธุ์ไหนก็ตามแต่ พอเห็นคณะธรรมยาตราเดินผ่านมาก็เห่าเหมือนกันหมด
เจ้าดำตัวนี้มันขาเจ็บ เพื่อนๆ ในคณะธรรมยาตราเห็นแล้วสงสาร ก็เลยทำแผลให้ครับ
น้องแมววัดตัวนี้ตาบอดครับ เหมือนตาเค้าจะบอดทั้งสองข้างเลยนะ น่าสงสารมาก คิดว่าที่ผ่านมาคงมีคนช่วยกันดูแลมันจนตัวโตขนาดนี้ โชคดีที่ไม่ตายไปเสียก่อน
นี่คือ หมูวัด หมูพันธุ์พื้นเมืองที่ถูกเลี้ยงไว้ในวัดบ้านวังน้ำเขียว มันไม่ได้ถูกเลี้ยงแบบปล่อยให้เป็นอิสระนะครับ มีคอกจำกัดอาณาเขตไว้เป็นอย่างดี เดาว่าถ้าปล่อยให้มันวิ่งเล่นเหมือนแมววัดหรือหมาวัดล่ะก็ ยุ่งแน่
วัวเขื่องตัวนี้ไม่ใช่วัววัดแน่ภ มันเป็นวัวเนื้อพันธุ์ดีที่ได้ชาวบ้านได้รับการส่งเสริมให้เลี้ยงจากรัฐ(รึป่าวไม่แน่ใจ) จะเรียกว่าเป็นสัตว์เศรษฐกิจของที่นี่ด้วยก็ไม่ผิดซะทีเดียวครับ
ส่วนวัวตัวนี้มีชื่อนะครับ ชื่อว่า “ลำพูน” พอดีได้ยินพี่เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าตระโกนเรียกชื่อ ตอนที่พวกเราเดินพ้นออกมาจากภูหลง เส้นทางศึกษาธรรมชาติเส้นที่ 2ภภ เจ้าลำพูนทำเอาคณะเราหวาดเสียวไปตามๆกันครับภ น้องเค้าเดินตามเรามาทันทีที่มองเห็นเราจากบนเขา เดินตามมาอย่างไม่ลังเลแบบนี้ไม่ปกติแน่ และก็เดินตามเราทันจนได้ ดีว่าเจ้าหน้าที่มาเห็นก่อนไม่งั้นคงได้มีเรื่องทักทายกันเป็นแน่
พี่เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าภูหลงบอกว่า นี่คือ “หอยหอม”ภ หน้าตาแบบนี้จะหอมจริงหรือเปล่าไม่แน่ใจ วันหน้าจะลองดมดูแล้วจะมาเล่าให้ฟังครับ แต่ตอนนี้ขอบายไปก่อน
น่าจะเป็นแมลงวันพันธุ์หนึ่งครับ มันบินมาเกาะตอนที่พวกเรานั่งทานอาหารเที่ยงกันหลังออกจากป่าภูหลง
กิ้งก่าตัวนี้ออกมาทักทายในเช้าวันสุดท้ายของการเดินธรรมยาตราครับ สีสันเนี่ยพลางกับต้นไม้ได้ดีจัง
ถ้าเราเดินอย่างมีสติ ลองมองๆดูสิ่งแวดล้อมรอบๆ ก็จะเห็นว่าบนเส้นทางของการเดินธรรมยาตราในครั้งนี้ นอกจากสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคนแล้ว ก็ยังมีสัตว์ร่วมโลกชนิดอื่นด้วยครับ
บทความโดย
Orange Smallfish
facebook : http://www.facebook.com/wor1d
twitter : @utility
เก็บรายละเอียดได้ดีและมีมุมมองที่แตกต่าง เล่าเรื่องได้ดี
ขอเป็นกำลังใจ ให้ทำความดีกันต่อไปนะค่ะ