หลังจากพักผ่อนกันสาแก่ใจ พวกเราก็ออกเดินทางกลับสู่ที่ทำการอุทยานฯ ลุงใจถามพวกเราว่าอยากกลับทางเดิมที่มาหรือว่าอยากจะกลับทางใหม่ พวกเราก็ใจตรงกันครับว่าน่าจะไปทางใหม่ เพราะมาทั้งทีก็น่าจะได้เห็นอะไรใหม่ๆหลายๆอย่าง จริงไหมครับ
ทว่าทางใหม่ที่ลุงใจแกบอกคือการเดินลุยน้ำครับ
แกบอกว่าการเดินกลับตามทางธารน้ำจะใกล้กว่าทางเดิมที่เราเข้ามาอยู่ประมาณเกือบครึ่งแต่อาจจะเดินลำบากหน่อย ระหว่างทางแกบอกว่าเราน่าจะเก็บผักไปกินด้วย ซึ่งผักที่ลุงใจแนะนำให้เก็บไปกินก็คือ ผักกูด นั่งเองครับ
ตั้งแต่ผมหัดเดินป่าผมก็รู้จักผักกูดแล้ว ผักกูดเป็นพีชตระกูลเฟิร์นเอาไปทำอาหารได้หลายอย่างทั้งผัดทั้งแกง อันนี้ผมขอแนะนำเลยครับ
แป๊บเดียวพวกเราก็ได้มาคนละกำใหญ่ๆ มื้อเย็นคงอิ่มแปร้กันเป็นแถวๆ 🙂
พวกเราเดินลุยน้ำลึกขนาดหัวเข่าเป็นอย่างน้อยตลอดเส้นทางกลับ ระหว่างทางมีเสียงแปลกๆดังขึ้นบริเวณป่าข้างๆลำธารหลายครั้ง จนผิดสังเกต แต่ลุงใจแกก็ไม่ได้พูดอะไร ผมคิดว่าต้องมีอะไรสักอย่างแต่ไม่บอกแต่ก็ไม่แน่ใจ
นี่เป็นผักอีกชนิดที่ลุงใจแกบอกว่าแกงอร่อย แต่ผมจำชื่อไม่ได้
มีผลไม้สีแดงสดอยู่ข้างลำธารด้วยน่ากินจังภ ต้องเดินไปดูซะหน่อย
ฮ่ะๆ มันกินไม่ได้หรอกครับ เพราะถ้ามันกินได้ ป่่านนี้คงโดนสัตว์ป่าแถวนี้สอยไปนานแล้วล่ะ ก็อีกนั่นแหละครับผมจำชื่อไม่ได้ว่าลูกอะไร
ผมยังคงได้ยินเสียงแปลกๆ เหมือนเสียงหักไม้คิดว่าระยะน่าไม่เกิน 40 เมตรจากจุดที่ผมยืนในธารน้ำ ลุงใจแกกระซิบว่าไม่ต้องกลัวหรอก เสียงช้างป่าหักไม้ขู่พวกเราน่ะ ประมาณว่าอย่ามาเข้ามาใกล้ตูนะ ฟังแล้วสยองเหมือนกันครับ พวกเราก็เลยก้มหน้าก้มตาเร่งฝีเท้ากันอย่างไว ฮ่าๆ ไม่นานก็ที่ปากทางเข้าเส้นทางเดินป่า ที่นั่นมีรถจากอุทยานฯมารับพวกเรากลับด้วยล่ะ ดีจังไม่ต้องเดินกลับเอง
พอถึงที่ทำการอุทยานฯปุ๊บ ก็เจอพวกพี่ตุ้ม เจ้าปุ้ม และเจ้าเต่าที่เพิ่งกลับมากจากพาเด็กนักเรียนไปตั้งแคมป์ พวกเค้านั่งรอพวกเราอยู่ตั้งแต่ตอนบ่ายภ เห้อ มาถึงที่นี่ตั้ง 2 วันล๊ะ ได้เจอกันซะทีนะท่านๆภ ไม่ทันจะได้นั่งคุยให้เป็นกิจลักษณะ เจ้าปุ้มดันชวนผมกับนายปุกปุยไปเที่ยวตลอดเย็นที่ตัวตำบล
ที่ตลาดของกินเพียบครับพี่น้อง ถูกๆทั้งน้าน เดินไปกินไป อร่อยเจงๆ
ไว้เจอกันEntryหน้าครับ
บทความโดย
นายนกกระรางหัวหงอก
ลูกไม้สีแดงน่ะเรียกว่า ตูมกา กินไม่ได้ครับคุณนกกระรางหัวหงอก แล้วต้นที่ใบเป็นรูปสามเหลี่ยมน่ะ เราเรียกว่า “ผักหนาม” ครับ