เมื่อวานหลังกลับมาจากตลาดเย็นในตำบล พวกเราก็ยังคงกินข้าวเย็นต่อ(แล้วอย่างนี้จะไม่ได้อ้วนไหวเร้อ) ในวงข้าวต่างคนก็ต่างพูดคุยกันถึงเรื่องการเดินป่าที่ตอนกลางวัน อ่อ ลืมบอกไปครับว่าเจ้าบอยกับลูกศิษย์ได้เดินทางกลับกรุงเทพฯแล้ว หลังกลับจากเดินป่าเพราะต้องรีบกลับไปสอนในวันจันทร์ครับ
ผม นายปุกปุย พี่ตุ้ม นายปุ้ม นายเต่า นั่งคุยกันจนถึง 4 ทุ่มกว่าๆ ก็เข้านอนเอาแรงกัน พรุ่งนี้ตั้งใจว่าจะไปวัดดวงนั่งดูช้างป่ากันอีกรอบ เผื่อจะเจอ
ZZZZZZZZZZZZZZZZZZZZzz
ตอนเช้าหลังรับประทานอาหาร มีเรื่องให้ต้องตื่นเต้นอีกแล้วครับท่าน อาจารย์ชลธรเดินมาบอกพวกเราว่าให้ช่วยกันไปตามหาช้างป่าหน่อย ฟังไม่ผิดครับ ตามหาช้างป่า อาจารย์บอกว่าได้รับแจ้งจากส่วนกลางมาว่าอาจมีช้างป่วยและอาจจะล้มไปแล้วก็เป็นได้ พวกเราก็เลยนั่งรถกระบะของอุทยานฯบึ่งเข้าไปที่จุดที่คาดว่าจะเป็นที่เกิดเหตุบริเวณไรสัปรดของชาวบ้าน ซึ่งอยู่ไกลจากตัวอุทยานฯหลายกิโล
เมื่อมาถึงไร่สัปรดบริเวณชายป่าอุทยานฯ ผมก็พอนึกออกครับว่า ทำไมช้างถึงได้ลงมากินสัปรดของชาวบ้านอยู่บ่อยๆ
ผมและคณะติดตามช้าง ออกเดินค้นหาช้างอย่างระมัดระวัง ผมดันใส่รองเท้าแตะไปซะด้วยภ นี่ถ้าเจอช้างจริงๆ ถ้าจะวิ่งหนึเร็วๆก็คงจะลำบากแน่ๆ แต่ถึงวิ่งเร็วอย่างไรก็คงวิ่งเร็วสู้ช้างไม่ได้ครับ ลุงใจแกบอกว่าถ้าคิดจะวิ่งแข่งกะช้างคงไม่มีทางเร็วกว่ามันไปได้ หรือแม้แต่จะวิ่งขึ้นภูเขาก็อย่างคิดว่ามันจะขึ้นไปไม่ได้ ช้างป่ามีความปราดเปรียวมากกว่าที่เราเข้าใจมากมายครับภ ลุงใจแกลงท้ายว่า ต้องวิ่งเร็วและซิกแซ็ก (นึกถึงวิธีหลบกระสุนปืนยังไงยังง้นเลยแฮะ) เอาเถอะ สาธุ อย่าให้เจอตอนนี้เลย
พวกเราค้นหาอยู่เป็นชั่วโมงก็ไม่มีวี่แวว ที่สุดก็ทราบภายหลังว่า เป็นข่าวโคมลอยที่ไม่จริง ไม่เข้าใจเหมือนกันครับว่าคนกุข่าวเค้าประสงค์สิ่งใด แต่ก็ชั่งเถอะ ไม่มีช้างตายก็ดีแล้วล่ะภ สักพักพวกเราก็เดินออกจากป่าครับ
สัปรดลูกนี้น่ากินจัง พี่เจ้าหน้าที่พิทักษ์บอกว่าเก็บมากินได้ ชาวบ้านที่นี่เค้าไม่ว่าอะไรหรอก เพราะเราไม่ได้เอาไปขาย
ผมก็จัดการเด็ด ปอก และเคี้ยวอย่างกระหาย โอว์ อะไรจะกรอบหวานอร่อยได้ถึงเพียงนี้
เดินไปด้วย กินไปด้วย มัวแต่กินจนเดินตามเจ้าปุกปุยไม่ทัน “เฮ้ย ไอ่ปุยรอตูด้วย”
บทความโดย
นายนกกระรางหัวหงอก