ฝนหยุดตกชั่วคราวตอนเพลพอดี คณะธรรมยาตรามาหยุดตรงใจกลางตำบลแห่งหนึ่ง(จำชื่อตำบลไม่ได้อีกแล้ว) ดูเหมือนว่าชาวบ้านที่นี่เค้าจะเตรียมการต้อนรับไว้แล้วทั้งสถานที่และก็อาหาร ผู้คนในเมืองเล็กๆแห่งนี้น่าจะถูกล่อเลี้ยงด้วยการทำกสิกรรม เพราะรอบข้างมีแต่มันสัมปะหลังกับอ้อย

มีคนในคณะธรรมยาตราบอกว่า นี้คือ เกษตรกรรมตาเดียว คือปลูกอะไรได้เงินก็จะปลูกกันไปอย่างนั้น จนกระทั่งดินเสื่อมสภาพ จากผลผลิตที่เค้าเคยได้ วันข้างหน้ามันก็จะลดน้อยลงไปเรื่อยๆภ ผมคิดว่าที่เค้าพูดก็ฟังดูมีเหตุมีผล เค้ามองเห็นปัญหา เจ้าของไร่แถบนี้ก็น่าจะทราบปัญหาแบบนี้ดี แต่ก็ยังไม่เห็นมีอะไรมาหยุดยั้งการวิ่งของระบบทุนนิยมได้ภ ก็คงจะต้องรอให้บ้านเราเป็นทะเลทราย นั่นแหละถึงจะสำนึก


พวกเราออกเดินทางกันต่อไปยังจุดหมายปลายทางของวันนี้ ระหว่างทางฝนก็ได้เทลงมาอีกครั้ง หนักกว่าเดิมมากๆ คณะธรรมยาตราก็ยังคงตั้งหน้าตั้งตาเดินกันต่อไปอย่างมีสมาธิไม่มีใครส่งเสียงพูดคุยกันซะเ่ท่าไร หรือว่าสายฝนทำให้พวกเค้าเหล่านี้ใจจดจ่ออยู่กับมัน

เจ้าปุยและพี่ตุ้มทำหน้าที่ปิดท้ายขบวนคอยส่งเสียงโหวกเหวกเวลารถใหญ่วิ่งผ่าน แน่นอนว่าสายฝนทำให้เสียงที่ตะโกนออกมาเบาลงมาก จำเป็นต้องบอกต่อๆกันไปจนกว่าจะถึงหัวแถว ทำอย่างนี้เรื่อยไปจนกระทั่งพวกเราเดินทางถึงที่หมายที่เป็นวัดแห่งหนึ่ง

และแล้วคณะธรรมยาตราก็มีปัญหาเรื่องที่พักเป็นครั้งแรก เนื่องจากศาลาวัดแห่งนี้จุคนได้แต่เีพียงกึ่งหนึ่ง ส่วนที่เหลือจำเป็นต้องใช้เพิงหมาแหงนที่เคยเป็นห้างของแม่ค้าขายสัปรดนอนกันแทน

สำหรับผม ผมไม่มีปัญหาใดๆเกี่ยวกับที่พักเพราะผมต้องเดินทางกับในบ่ายนี้แล้ว ผมไม่ได้มีโอกาสเข้าไปกราบหลวงพ่อท่าน เพราะหาท่านไม่พบ อีกอย่างผมรู้สึกว่าช่วงนั้นทุกคนกำลังชุลมุนอยู่กับที่พัก จึงได้แต่เพียงลาพี่ตุ้ม นายปุย นายเต่า พี่ตู้ เจ้าส้ม และมิตรผู้มาจากสะพานใหม่(เมื่อวันแรกๆ)

ทริปนี้สุดยอด เพราะมันทำให้ผมใส่ใจคำว่า “่สติ” เป็นครั้งแรก

ขอคุณทุกท่านที่ติดตามอ่าน หวังว่าเราจะได้ไปเดินธรรมยาตรา ลุ่มน้ำลำปะทาว ร่วมกัน

สวัสดีครับ

Comments

comments

Comments are closed.