09.00 น. วันอาทิตย์ ที่ 2 พฤศจิกายน 2551
ทุกคนพร้อมแล้วสำหรับการเดินธรรมยาตราในวันที่สอง พวกเราต้องเดินเท้าไปให้ถึงวัดของหมู่บ้านต่อไปให้ทันเพลครับ ก่อนที่จะออกเดินพระและทีมงานธรรมยาตราได้ออกมานำสวดให้ศิลให้พรแก่ผู้ร่วมการเดินธรรมยาตราตามปกติเหมือนเช่นทุกครั้ง และทันทีที่คณะเริ่มเดินพระท่านก็จะตีกลองให้จังหวะไปด้วยในตัว ทั้งนี้ก็เพื่อให้ผู้ร่วมเดินมีสมาธิและตั้งสติอยู่กับการเดินนั่นเองครับ
อันนี้คือบทอธิษฐานที่ทุกคนได้กล่าวด้วยก่อนที่จะเริ่มเดินธรรมยาตราครับ
ในวันนี้เส้นทางที่พวกเราย่ำเดินยังคงเป็นถนนดินลูกรังเสียส่วนใหญ่ครับ ระหว่างเดินสังเกตเห็นหลายคนถอดรองเท้าก็อดสงสัยไม่ได้ว่าพวกเค้าจะเจ็บรึป่าว ในใจก็นึกอยากจะลองถอดรองเท้าเดินดูบ้าง แต่พอเอาเข้าจริง ๆก็ขอผลัดเป็นวันพรุ่งนี้น่าจะดีกว่า เพราะถ้าพลาดพลั้งเจ็บเท้าขึ้นมาก็อาจจะเดินต่อไม่ได้ แบบนี้น่าเสียดายแย่เลย
ผมอยู่เกือบด้านหน้าของขบวนถัดจากแม่ชีและพระ คนที่อยู่ต้น ๆของขบวนจะได้ทำหน้าที่แบกธงธรรมจักรไปด้วยและผมก็เป็นหนึ่งในนั้นครับ ในระหว่างเดินนั้นทุกคนก็ต่างมีสมาธิอยู่กับการเดินธรรมยาตราครับ หลายท่านทำภาวนาไปด้วย
แอบเห็นเด็กชายคนหนึ่งอายุราว ๆ 5-6 ขวบเดินอยู่ด้านหน้า นึกในใจว่า เอ แล้วน้องเค้าจะเดินไหวไหมนะ เพราะก่อนหน้านี้ผมเห็นน้องเค้าวิ่งเล่นกับเพื่อนตั้งแต่ก่อนออกจากวัด น่าจะใช้พลังไปโขทีเดียว ฮา ๆ คิดว่าระหว่างเดินถ้าน้องเค้าไปไม่ไหวก็น่าจะได้นั่งรถไปทีมงานที่ขนของ แต่ที่ไหนได้น้องเค้าเดินเก่งมากครับ
ท้ายขบวนจะเป็นทีมงานผู้ที่ดูแลเรื่องความเรียบร้อยของขบวนธรรมยาตราครับ คนกลุ่มนี้มีความจำเป็นมากถ้าไม่ได้พวกเค้า การเดินธรรมยาตราครั้งนี้ก็คงจะติดขัดพอสมควร สำหรับคนจำนวนมากในการเดินระยะทางไกล ๆจำเป็นต้องมีทีมงานคุมขบวนครับ แม้ในตอนเริ่มแรกจะดูเป็นระบบระเบียบดี แต่พอเดินนาน ๆเข้าขบวนก็จะเริ่มแตก ส่วนหนึ่งอาจจะเรากำลังเรี่ยวแรงในการเดินของแต่ละคนไม่เท่ากันเพราะมีทั้งเด็กแลผู้ใหญ่ สำคัญคือบนเส้นทางมีรถยนต์สวนไปมาบนท้องถนนในบางช่วง หากไม่ระมัดระวังก็อาจจะเป็นอันตรายได้ครับ และนอกจากทีมงานผู้ดูแลขบวนแล้ว ท้ายสุดของขบวนจะมีรถที่ขนของสัมภาระเช่นอุปกรณ์จัดนิทรรศการ รถขนเป้เต้นท์ และรถเสบียงครับ
ในช่วงที่เราไปเดินธรรมยาตราเป็นช่วงปลายฝนต้นหนาว ธรรมชาติระหว่างเส้นทางที่เราเดินนั้นดูสวยงามครับ วันนี้โชคดีแดดไม่แรงแถมยังทำท่าว่าฝนอาจจะตกด้วยอีกด้วย ริมถนนมีไร่มันสัมปะหลังและทิวเขาที่เขียวขจีสวยงามมาก เขียวไปหมดจริง ๆครับ แต่ก็นั่นล่ะครับ กล้องมือถือของผมได้ทำหน้าที่เต็มประสิทธิภาพของมันแล้ว ฮา ๆ
2 ชั่วโมงหลังออกเดิน คณะธรรมยาตราก็มาถึงที่พักแรกของการเดินทางในวันนี้ เป็นวัดที่อยู่ในหมู่บ้านระหว่างเส้นทางเดินของคณะธรรมยาตราครับ
หลายคนคงสงสัยว่าทำไมจุดที่คณะธรรมยาตราพักจะต้องเป็นวัดซะเสียส่วนใหญ่ คำตอบแรกคือในกิจกรรมของเรามีกิจกรรมหลายอย่างที่เกี่ยวข้องกับพิธีกรรมทางศาสนาครับ ส่วนคำตอบที่สองนั้นพี่ตุ้มเม้งบอกว่าในต่างจังหวัดนั้น วัดเป็นสถานที่ที่เป็นศูนย์รวมทางจิตใจของชาวบ้านครับ
ดูเหมือนว่าการมาถึงของคณะธรรยาตรานั้นสร้างความปิติให้กับในชุมชนอย่างมาก ชาวบ้านต่างออกเอาอาหารมาร่วมทำบุญกันอุ่นหนาฝาคั่ง และถือเป็นโอกาสดีที่จะได้พบปะพูดคุยกับคนในชุมชนที่ปกติไม่ค่อยได้มีโอกาสพบเจอกันบ่อยนัก เต่าบอกว่าหลายครั้งปัญหาที่ปัญหาคาราคาซังของชุมชนถูกนำมาคลี่คลายในวัด ยังเสริมอีกว่าชุมชนที่ท่ามะไฟหวานนั้นเหนียวแน่นมาก ส่วนใหญ่มีแนวคิดเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันภายใต้เหตุผลที่ถูกต้อง ทำให้ง่ายแก่การแก้ไขปัญหาและการพัฒนาที่ยั่งยืนของชุมชนอีกด้วยครับ
ไม่นานหลังจากคณะธรรมยาตราได้พักเหนื่อยกัน ทุกคนก็ได้ขึ้นไปสวดมนต์ไหว้พระบนศาลาก่อนที่จะร่วมรับประทานอาหารเที่ยงกัน แน่นอนว่าพวกเรายังเหลือระยะทางอีกกึ่งหนึ่งสำหรับจุดหมายปลายทางในวันนี้ครับ
บทความโดย
Orange Smallfish