วันนี้ได้พบประสบกับเรื่องที่ “เป็นตางึด” อีกครั้ง (ภาษาอีสาน แปลว่า อัศจรรย์ใจ) เพราะภาพที่เห็นไม่ใช่ครั้งแรกที่พบ แต่เป็นครั้งแรกที่มีกล้องติดตัวก็เลยได้ภาพนี้มา นั่นก็คือ “หมาเหนือเมฆ”
ไม่ใช่ชื่อหนังหรอกครับ แต่ที่เอามาพูดถึงเป็นเพราะหากเราเปรียบเทียบความสูงของกำแพงแล้ว สุนัขตัวนี้มันคงจะกระโดดไม่ถึงแน่เพราะต้นโมกสูงท่วมหัวผมอีก แต่มันคงต้องมีวิธีขึ้นอย่างแน่นอนครับ หลายๆ คนที่นั่งรอรถเมล์ป้ายนี้คงจะมองเป็นแค่เรื่องธรรมดา เพราะเป็น “เรื่องของหมามัน”
ใช่ครับมันเป็นเรื่องของหมา แล้วคนอย่างเราๆ ท่านๆ จะไปสนใจทำไม ผิดถนัดครับ ในมุมมองของผมกลับคิดว่า “หมาข้างถนน” หรือสุนัขจรจัดหรือชื่ออื่นๆ แล้วแต่ที่เราจะเรียกเขานั้น มีความพิเศษอยู่ภายในตัวเองคือ “สัญชาตญาณการเอาตัวรอด” มันมีการปรับตัวที่ชาญฉลาด คือ ไม่ดุ ไม่ทำร้ายคน อยู่สงบเสงี่ยมเรียบร้อย มีผู้นำกลุ่มที่เข้มแข็ง จดจำผู้มีพระคุณที่มาให้ข้าวให้น้ำแม้จะต้องเจ็บตัวเพราะผู้ใจบุญนำวัคซีนมาฉีดให้ก็ตาม แต่ถ้าหากใคร (หมาต่างถิ่น) หาญบุกมาก็จะเกิด “สงครามของหมู่หมา” ขึ้นทันที
ในมุมมองของผมได้เรียนรู้จากพวกเขาเหล่านั้นว่า “สิ่งที่คิดว่าเป็นไปไม่ได้มันก็เป็นไปได้เมื่อเราตั้งใจที่จะทำ” กว่าที่พวกมันจะขึ้นมานอนอวดโฉมได้นั้น ต้องผ่านการฝึกซ้อมมาอย่างหนัก พลาดหวังตกลงมาบ้าง แต่พวกมันก็สู้ต่อไป จนมาถึงวันนี้ที่มันนอนมองคนที่เดินผ่านไปมาอย่างสบายใจ แล้วพวกเราทั้งหลายที่เป็นมนุษย์ เคยท้อแท้บ้างไหม? เคยล้มเหลวบ้างไหม? เคยพลาดหวังบ้างไหม? ไม่สมหวังในสิ่งที่คิด สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เหมือนสนิมที่เกาะกินพลังที่เราเรียกว่า “กำลังใจ” ก่อให้เกิดการบั่นทอนจิตใจของเราให้อ่อนแอลงไปเรื่อยๆ หากเราจมปลักอยู่ในวังวนนั้นมันก็จะจมดิ่งไปเรื่อย แต่ถ้าเราอยู่ในถ้ำที่มืดมิดหากมีแสงสว่างจากไม้ขีดก้านเดียวเราก็จะมีความหวังและพลังขึ้นมาทันที ผมหวังว่า “หมาเหนือเมฆ” นั้นจะเป็นเหมือนแรงผลักดันให้เราสู้ต่อไป ถ้าไม่สู้แล้วก็อาจจะโดนชาวบ้าน (ที่ไม่สนเรื่องตนเอง) บอกว่า “ถ้าทำไม่ได้ก็อายหมามัน” ครับ
โดย
นายนกขมิ้นน้อยธรรมดา (เพื่อนนายนกกระรางหัวหงอก)